วันเสาร์

Week 12 (28 Jan 2011)

วันนี้เราได้เรียนรู้หลายอย่าง อาทิ
เรื่องที่หนึ่ง เว็บที่ใช้ในการแสดงความคิดเห็น http://news.yahoo.com/entertainment/dear-abby ซึ่งเว็บไซต์นี้จะเป็นเว็บไซต์ที่ทุกคนสามารถเข้าไปแสดงความคิดเห็นได้ทุกคน ไม่ว่าจะแสดงความคิดเห็นในด้านใดก็ตาม
เรื่องที่สอง วิธีที่นักศึกษาสามารถเพิ่มความรู้รอบตัวหรือ knowledge of the world ก็คือ การศึกษาหาความรู้ในด้านเนื้อหาสาระอื่นๆที่นอกเหนือจากสาขาวิชาที่กำลังเรียนหรือศึกษาอยู่
เรื่องที่สาม Syntax and Grammar แตกต่างกันอย่างไร
- Syntax คือ เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับโครงส้รางประโยคว่าใช้อย่างไรและใช้แบบใด
- Grammar คือ เป็นการเรียนเกี่ยวกับกฎการใช้ภาษาอังกฤษ เช่น tense, part of speech, active, passive voice etc.
เรื่องที่สี่ Noun Phrase (นามวลี)
- แม่ของฉันเป็นครู
My mother is a teacher.
- รัฐบาลเตรียมยุบสภา
The government dissolf the parliament.
- พระราชวังนี้สร้างขึ้นในปี
The palace was built in 1912.
- บ้านโน้นดูใหญ่มาก
That house looks so big. or That house is very big.

วันศุกร์

Week 6 (17 Dec 2010)

วิชาการแปลนั้นนักศึกษาทุกคนจะต้องแข็งแรงทั้งภาษาไป และภาษามา หมายถึงว่านักศึกษาต้องมีความรู้ทั้งในภาษาที่ตัวเองใช้อยู่ และภาษาที่ตัวเองกำลังศึกษาอยู่ด้วยนั่นคือ ภาษาอังกฤษนั่นเอง
สัปดาห์นี้อาจารย์สอนในหัวข้อเรื่อง If Clause หรือ Condition Clause หมายถึงประโยคที่แสดงหรือกำหนดเงื่อนไข ขึ้นในเวลาที่่ต่างๆ กัน แต่เวลาที่พูดนั้นเกิดขึ้นในขณะปัจจุบันรูปกริยาที่ต่างกันใน If-clauseเป็นเพียงตัวบ่งให้ทราบว่าเป็น เงื่อนไขแบบใดเท่านั้น
ตัวอย่าง ถ้าฉันขึ้นรถเมล์ไม่ทันบ่ายนี้ ฉันก็จะเรียกรถแท็กซี่แทน
If I miss the bus this afternoon, I will catch/get a taxi instead.
ในประโยคนี้จะประกอบด้วย 2 ประโยคด้วยกันคือ
ประโยคหน้าจะเป็น Dependent clause คืออนุประโยคที่อยู่โดดเดี่ยวไม่ได้
ประโยคหลังจะเป็น Independent clause คืออนุประโยคที่โดดเดียวได้
If clause จะมีการใช้ดังนี้
1. Present/real(possible) ในปัจจุบันหรือเป็นไปได้
มีโครงสร้างคือ If + V1,will,can,may,should,must+V1
ตัวอย่าง ถ้าวันนี้ฝนตก ฉันคงไปหาเธอไม่ได้ If it is rainny, I can not visit you today.
2. Present/unreal(impossible) ตรงกันข้ามกับปัจจุบัน
มีโครงสร้างคือ If + V2,would,could,should,might+V1
ตัวอย่าง ไม่มีใครบอกฉันเลยว่าคุณเข้าโรงพยาบาล ถ้าฉันรู้ฉันคงไปเยี่ยมแล้วหละ No one told me that you were in hospital, if I had known, I would have visited you.
3. Past/real
มีโครงสร้างคือ If + had + V3 + modality + have + V3
ตัวอย่าง ถ้าฉันเข้าใจไวยากรณ์ ฉันคงสอบผ่านแล้วหละ If I had understood the grammar, I would have passed the test.

วันพฤหัสบดี

Week 4 (3 Dec 2010)

ในการเรียนภาษาอังกฤษนักศึกษาภาษาอังกฤษจะต้องมีความรู้ในด้านการพูด ซึ่งการที่จะพูดได้นั้นจะต้องมีความถูกต้องจึงจะทำให้ผู้ที่ฟังเราพูดนั้นสามารถเข้าใจตรงกันกับสิ่งที่เราพูด ซึ่งกระบวนการนี้นักศึกษาจะต้องมีความรู้ในเรื่อง Tense หรือ กาล
ในภาษาอังกฤษ tense จะประกอบด้วย 12 tense ซึ่งในอาทิตย์นี้เรียน 2 tense คือ present continous tense หรือ progressive กับ present perfect tense
1. Present continous tense จะมีโครงสร้าง S + be + V ing
มีหลักการใช้ ดังนี้
1.1 การกระทำหรือเหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง
Ex. She was sleeping. หล่อนหลับยาวเลย เมื่อวาน
1.2 เกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วแต่เกิดขึ้นซ้ำๆ
Ex. The boy is hitting my dog with a stick.
1.3 การกระทำที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
Ex. I am writing a book on global warming.
1.4 การกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วคราว
Ex. She is living in London.
1.5 การกระหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งได้มีการวางแผนเกี่ยวกับสิ่งนั้นไว้แล้วในปัจจุบัน
Ex. She is flying to China tonight.
2. Present perfect tense จะมีโครงสร้าง S + have/has + V3
มีหลักการใช้ดังนี้
2.1 การกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ภายหลัง
2.2 การกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และยังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน
2.3 การกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว โดยไม่ระบุเวลาแน่ชัด แต่เกิดขึ้นอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
2.4 การกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และยังส่งถึงปัจจุบัน
Ex. The thief had run away when the police arrived.

Week 2 (19 Nov 2010)

ในปัจจุบัน การเรียนการสอนภาษาอังกฤษนั้นจะมีบทบาทเป็นอย่างมาก เพราะการใช้ภาษาอังกฤษนั้นเกิดขึ้นในทั่วทุกประเทศ ฉะนั้นทุกคนควรที่จะเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งจะเกี่ยวกับครูภาษาอังกฤษทุกคนที่จะมีหน้าที่ในการทำให้นักเรียน นักศึษามีความรู้ในภาษาอังกฤษ
ครูในปัจจุบันสมควรจะต้องมีคุณสมบัติหลายประการในสาขาอาชีพ ต่อไปนี้จะเป็นคุณสมบัติบางประการที่ครูต้องมี 1. Critical mind 2. Creative mind 3. Productive mind 4. Responsible mind
1. Critical mind หรือ cognitive domain/thinking skill คือ ครูต้องมีกระบวนการคิดแบบมีวิจารณญาน คิดแบบมีเหตุมีผลเสมอ
2. Creative mind คือ new innovative หรือ สิ่งใหม่ๆ ครูจะต้องมีความคิดที่แปลกๆใหม่ๆ หรือครูจะต้องนำสิ่งที่ใหม่ๆเข้ามาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน
3. Productive mind หรือ product task based learning คือ ครูจะต้องมีชิ้นงานหรือครูจะต้องทำให้นักเรียนมีความรู้ให้มากที่สุด
4. Responsible mind คือ ครูจะต้องมีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานของตน และทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด
การใช้ Can
จะมีการใช้อยู่ 4 ประเภท ดังนี้
1. ใช้บอก ability หรือบอกความสามารถ
2. ใช้บอก imposibility หรือ บอกความเป็นไปได้
3. ใช้บอก permisture หรือบอกการอณุญาต
4. ใช้บอก request หรือบอกการขอร้องต่างๆ
Ex. Your sister can speak English well.

Week 1 (12 Nov 2010)

วันแรกของการเรียนการสอน อาจารย์จะยังไม่สอนเนื้อหามาก แต่อาจารย์จะสั่งงานก่อนล่วงหน้าและทำไปเรื่อยๆ นั่นก็คือให้นักศึกษาทำบล๊อกเป็นภาษาอังกฤษเป็นของตัวเอง ซึ่งมีรายละเอียดที่จะต้องใส่ลงไปในบล๊อกหลายประการ
อันดับแรก อาจารย์ให้ทำ reading log เข้าไป สิ่งนี้คือ สิ่งที่นักศึกษาไปค้นคว้ามาจากข้างนอกห้องเรียน ไม่ว่าจะศึกษาทางข้อความในหนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร เอกสารวิชาการทางการศึกา เรื่องสั้น บทกลอน เอกสารด้านกฎหมาย หรือจะศึกษาทางอินเทอร์เน็ตก็ได้ ถ้าสามารถลิงค์ไปยังข้อมูลได้ก็ให้ไส่เว็บลิงค์ไปด้วย
อันดับที่สอง writing log คือ นักศึกษาสามารถโพสต์สิ่งที่อยากเขียนลงไป ซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้ที่นัศึกษาอยากจะเขียน
อันดับที่สาม listening log คือ เมื่อนักศึกษาได้ไปฟังสิ่งใดก็แล้วแต่จากเว็บที่ได้ฟัง แล้วให้นักศึกษาวิพากษ์วิจารณ์สิ่งนั้นลงไปในบล๊อก
อันดับสุดท้าย speaking log คือ เมื่อนักศึกษาได้มีโอกาสพูดกับชาวต่างชาติหรืออาจารย์ชาวต่างชาติหรือผู้ที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีแล้วให้นักศึกษาบันทึกเสียงที่พูดหรือภาพแล้วก็โพสต์ลงไปในบล๊อกด้วย
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดดังกล่าวนั้น นักศึกษาอย่าลืมที่จะต้องชวนให้เพื่อนหรือบุคคลอื่นๆ ที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีเข้ามา comment บล๊อกของเรา และอย่าลืมที่จะนำอ้างอิงมาด้วย